บั้งไฟพญานาคหนองคาย

“เมื่อถึงปลายเดือนสิบของทุกปี… สายน้ำโขงจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

สายลมเย็นพัดผ่าน ดอกดาวเรืองเริ่มบานริมตลิ่ง และเสียงระฆังจากวัดต่าง ๆ ดังก้องรับวันออกพรรษา

นี่คือช่วงเวลาที่ผู้คนทั้งจังหวัดหนองคายรอคอย — งานไหลเรือไฟและบั้งไฟพญานาค ประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ที่งดงามที่สุดแห่งลุ่มน้ำโขง”



“ที่นี่…ศรัทธาไม่ได้เป็นเพียงคำพูด แต่คือพลังที่รวมใจของผู้คนทั้งสองฝั่งน้ำ

เรือไฟนับสิบลำค่อย ๆ ถูกตกแต่งด้วยหลอดไฟนับพันดวง

ชาวบ้านช่วยกันประดับไม้ไผ่ ผูกโครงเรือด้วยมือ และต่อสายไฟด้วยความตั้งใจ

ทุกหลอดไฟคือแรงศรัทธา ทุกลำเรือคือคำอธิษฐานของชุมชน

เมื่อถึงคืนวันออกพรรษา เปลวไฟทั้งหมดจะส่องสว่างพร้อมกัน เหนือผืนน้ำโขงอันยิ่งใหญ่”



“ระหว่างวันที่ 4 ถึง 10 ตุลาคม 2568เมืองหนองคายจะคึกคักเป็นพิเศษ

นักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ และจากฝั่งลาว ต่างหลั่งไหลมาร่วมชมความมหัศจรรย์ของสองปรากฏการณ์

ทั้ง ‘ไหลเรือไฟ’ ที่งดงามตระการตา และ ‘บั้งไฟพญานาค’ ที่เร้นลับและศักดิ์สิทธิ์”

“เมื่อยามเย็นมาเยือน ผู้คนจะเริ่มจับจองพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำ

บางคนปูเสื่อริมตลิ่ง บางคนขึ้นเรือเพื่อชมบรรยากาศใกล้ชิด

แสงอาทิตย์สีทองค่อย ๆ ลาลับ เสียงหัวเราะของผู้คนเริ่มก้องขึ้นแทนที่

และเมื่อฟ้าคลื้ม แสงไฟจากเรือก็เริ่มส่องประกาย —

นี่คือช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย ‘ไหลเรือไฟ’ ของหนองคาย”



“เรือแต่ละลำล่องไปตามสายน้ำโขงอย่างช้า ๆ

เปลวไฟสีส้มทองสะท้อนบนผิวน้ำระยิบระยับราวแสงดาว

ลวดลายของเรือมีทั้งรูปพระพุทธเจ้า พญานาค ดอกบัว และข้อความถวายพระพร

เมื่อแสงไฟเคลื่อนไปช้า ๆ ท่ามกลางเสียงดนตรีพื้นบ้านอีสานและเสียงปรบมือของผู้ชม

หัวใจของผู้คนก็เหมือนได้ลอยไปกับเรือไฟแห่งศรัทธานั้นเช่นกัน”

“นอกจากการไหลเรือไฟแล้ว สิ่งที่ทำให้หนองคายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

คือปรากฏการณ์ลึกลับที่ยังไม่มีใครอธิบายได้แน่ชัด — ‘บั้งไฟพญานาค’”



“ทุกค่ำคืนวันออกพรรษา ผู้คนจะมารวมตัวกันริมฝั่งแม่น้ำโขง

โดยเฉพาะที่อำเภอโพนพิสัย บ้านหนองกุ้ง บ้านท่าม่วง บ้านน้ำโมง และบ้านหัวหิน

ซึ่งถือเป็นจุดชมบั้งไฟพญานาคที่สวยและขึ้นบ่อยที่สุด”



“เมื่อฟ้าค่ำลง แสงไฟจากฝั่งลาวดับลง ผู้คนจะเงียบลงในชั่วขณะ

ทุกสายตาจ้องไปยังผืนน้ำที่นิ่งสงบ…

แล้วจู่ ๆ — เปลวไฟสีแดงอมชมพู ก็พุ่งขึ้นจากผิวน้ำ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างนุ่มนวล ไม่มีเสียง ไม่มีควัน

ผู้คนต่างเฮลั่น บางคนพนมมือ บางคนกลั้นน้ำตาไม่อยู่”



“บั้งไฟพญานาค… ความเชื่อโบราณเล่าว่า เป็นพลังของพญานาคผู้เฝ้ารักษาแม่น้ำโขง

ซึ่งจะขึ้นมาจุดไฟถวายบูชาพระพุทธเจ้าในวันออกพรรษา หลังจากเสด็จกลับจากสวรรค์”



“ไม่ว่าความจริงทางวิทยาศาสตร์จะอธิบายไว้อย่างไร

แต่สำหรับผู้คนลุ่มน้ำโขง เปลวไฟนั้นคือสัญลักษณ์แห่งศรัทธา

คือเครื่องเตือนใจให้มนุษย์ระลึกถึงความดีงาม ความสามัคคี และพลังแห่งธรรมะ”

“ระหว่างการรอชมบั้งไฟ นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชมตลาดพื้นบ้านริมโขง

ลิ้มรสอาหารอีสานแท้ ๆ เช่น ส้มตำปลาร้า หมูยอหนองคาย ปลานิลเผาเกลือ และข้าวจี่หอมกรุ่น

หรือจะเลือกนั่งร้านอาหารริมแม่น้ำจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ ดูแสงเรือไฟสะท้อนในน้ำ ก็ได้บรรยากาศไม่แพ้กัน”



“สำหรับผู้ที่อยากสัมผัสใกล้ชิดยิ่งขึ้น การล่องเรือชมเรือไฟยามค่ำคืออีกประสบการณ์หนึ่งที่ลืมไม่ลง

เรือจะค่อย ๆ ล่องไปตามสายน้ำ ผ่านจุดชมหลักอย่างสะพานมิตรภาพไทย–ลาว วัดลำดวน และท่าน้ำโพนพิสัย

เมื่อเรือเคลื่อนช้า ๆ กลางแม่น้ำ เสียงคลื่นกระทบหัวเรือดังแผ่ว ๆ

และเมื่อแหงนหน้ามองขึ้นฟ้า หากโชคดี คุณอาจได้เห็นเปลวไฟสีแดงลอยขึ้นจากผืนน้ำต่อหน้าอย่างน่าอัศจรรย์”

“ตลอดทั้งงาน ยังมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมมากมาย —

ขบวนแห่เรือไฟ การประกวดเรือประดับไฟ การแสดงพื้นบ้าน ฟ้อนรำอีสาน การสวดมนต์ข้ามคืน และพิธีทำบุญตักบาตรในวันออกพรรษา

ทุกช่วงเวลาคือการบูชาธรรมะ บูชาพระพุทธเจ้า และบูชาสายน้ำโขงอันศักดิ์สิทธิ์”



“และเมื่อรุ่งเช้า วันใหม่เริ่มต้น ผู้คนยังคงยิ้มด้วยหัวใจเปี่ยมสุข

แม่น้ำโขงยังคงไหลเอื่อยต่อไป — พาแสงแห่งศรัทธาล่องสู่ขอบฟ้า”

“งานไหลเรือไฟและบั้งไฟพญานาค จังหวัดหนองคาย

ไม่ใช่แค่ประเพณี หากแต่เป็นสายใยแห่งความเชื่อ ความรัก และความผูกพันของผู้คนลุ่มน้ำโขง

ที่ยังคงส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น จากเปลวไฟหนึ่ง…สู่เปลวไฟต่อไป”



“หากมีโอกาส — จงมาสัมผัสด้วยตาของคุณเอง

สายน้ำแห่งศรัทธา…จะทำให้หัวใจของคุณลุกเป็นแสงไฟแห่งความงดงาม”

🪷 “หนองคาย เมืองแห่งแสงไฟ ศรัทธา และพญานาค ผู้คอยเฝ้ามองจากใต้สายน้ำ…

ในคืนออกพรรษา ทุกดวงไฟที่ลอยขึ้นฟ้า คือคำอธิษฐานของผู้คน… และของคุณเช่นกัน”