ตื่นธรรม

ตื่นธรรมหรือธรรมที่ต้องตื่น พระพุทธองค์บอกสอนไว้แล้ว "ธรรมที่พระตถาคตแสดงแล้ว ยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง" จริงๆแล้วเรื่องการปลุกเร้ากุศลในธรรมของพระพุทธองค์ได้มีมายาวนานแล้ว จะโดยครูบาอาจารย์ที่ท่านทรงธรรมได้แสดงมาเป็นยาวนานแล้ว แต่ด้วยสื่อในยุคสมัยก่อนไม่ได้สะดวกเหมือนตอนนี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีกับผู้ที่รักศรัทธามั่นในพุทธศาสนา ได้แสดงเต็มกำลัง ทั้งพระทั้งโยมร่วมกันไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรส่งเสริม และสรรเสริญในธรรมที่ดีงามถูกต้องตามอรรถตามธรรม แต่ก็มีบ้าง ที่มีผู้แสดงธรรม หลุดไปจากคำสอน ก็ว่ากันไปตามความถูกผิดนั้น ไม่ควรดราม่า ปรามาสข่มวาทะซึ่งกันและกัน ทั้งที่พระพุทธองค์ก็บอก สอนเรื่องเช่นนี้เต็มไปหมดในพระไตรปิฎก( ให้รักกันเหมือน้ำกับน้ำนม ) แต่ก็นั่นแหละ แม้แต่ในสมัยพระองค์ก็มีเรื่องเช่นนี้มาแล้ว กลับมายุคเรา จะไปสู่การตื่นธรรมนั้น จึงต้องมีปัจจัยที่เหมาะสม ธรรมะของพุทธศาสนาเรามีหลายระดับชั้น ตามกำลังอินทรีย์คนนั้นไป บางคนก็ชอบฟังแนวดุดัน หรืออ่อนหวาน ก็ว่ากันไปตามธาตุตน ตามที่พระพุทธอค์บอก ธาตย่อมเข้ากันได้ด้วยธาตุที่เหมือนกัน แต่ถ้าเราได้ศึกษาในคำสอนของพระพุทธองค์ลึกๆแล้ว พูดง่ายๆ เอาตามที่พระองค์บอกสอน เราจะรู้เองเลยว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นอธรรม ควรหรือไม่อย่างไร ที่ต้องปฏิบัติควบคู่กันไป (ย้ำ,ต้องปฏิบัติควบคู่กับปริญัติ) ไม่เช่นนั้นเราชาวพุทธก็ยังมานั่งถกเถียงกันไปเรื่อย เพราะเอาแต่ผลมาเล่าข่มกันไปมา แต่ไม่เคยมองกลับไปที่มรรคเลย ที่เป็นพุทธประสงค์ของพระองค์ ใครตื่นธรรมแล้ว ต้องไปต่อ ไม่ใช่ตื่นแลัวไปหนีหลับ หรือ ตื่นแค่กระแส ที่กาลเวลาจะกลับมาเสกเราให้หลับต่อไปอีก ขอเจริญในธรรมแด่ทุกท่านครับ