“ดร.พิสิฐ” เสนอให้ สหกรณ์ย้ายสังกัดจาก ก.เกษตรไป ก.คลัง ที่เชี่ยวชาญการเงิน พบการล็อคสเปคหลายตำแหน่ง

“ดร.พิสิฐ” เสนอให้ สหกรณ์ ย้ายสังกัดจาก ก.เกษตร ไป ก.คลัง ที่เชี่ยวชาญการเงิน
พบการล็อคสเปคหลายตำแหน่ง ไร้ระบบธรรมาภิบาล หวั่นหากเกิดความเสียหาย

ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายในการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ว่าเรื่องของสหกรณ์นั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นระบบที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิต การเงิน และเรื่องอื่นๆ ดังนั้นระบบสหกรณ์ที่ดีจะทำให้สังคมมีความเจริญงอกงาม และเศรษฐกิจมีความมั่นคง

จากการที่ได้ศึกษาในประเทศฮอลแลนด์ จึงได้มีโอกาสเห็นระบบสหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งเติบโตเป็นธนาคารติดอันดับต้นๆ ของโลกมีชื่อว่า Rabobank มาจนทุกวันนี้ และเคยมาตั้งสาขาในประเทศไทยด้วย ดังนั้นหากทำเรื่องสหกรณ์ได้ดีก็จะเป็นสิ่งที่ดี เป็นการตัดพ่อค้าคนกลาง ทำให้สมาชิกได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน พร้อมกับขอบคุณผู้ร่างกฎหมายที่ได้นำเสนอแนวทางในการปรับปรุงกฎหมายให้เกิดประโยชน์ขึ้น

สำหรับประเด็นที่ตนให้ความสนใจคือเรื่องการเงิน เนื่องจากสหกรณ์ มีทั้งด้านการผลิต และการเงิน แต่เท่าที่ดูระบบของไทย ยังมีปัญหามากว่า ยังมีความไม่ชัดเจน เนื่องจากนำสองเรื่องดังกล่าวมาปนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการเงิน เท่าที่ดูตัวเลขก็พบว่ามีความสับสนโดยเฉพาะตารางที่ได้นำเสนอมา

กรณีของการเงิน ของสหกรณ์ออมทรัพย์ ที่บอกว่ามีเงินฝากอยู่ 704,000 ล้านบาท ขณะที่มีเงินให้กู้ 1.13 ล้านล้านบาท ซึ่งใน 2 เรื่องนี้อยู่คนละข้างของงบดุล แต่ปรากฏว่าในตารางนี้กลับนำมารวมกัน เป็น 1.8 ล้านล้านบาท ทำให้เกิดความสงสัยว่านักบัญชีคิดอย่างไร ขอให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ด้วย

อย่างไรก็ตามตัวเลขเป็นหลักแสนล้าน หรือล้านล้านนี้ บ่งถึงความสำคัญของระบบสหกรณ์ออมทรัพย์ในระบบการเงินของไทย แต่ก็ประสบปัญหาตามที่มีเพื่อนสมาชิกได้อภิปรายไปก่อนหน้า สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความคาใจอยู่ เพราะต้องการเห็นความเข้มแข็งของระบบนี้ เพราะระบบสหกรณ์ออมทรัพย์จะต้องแข่งขันกับผู้จัดการกองทุน อย่างกองทุน กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือแม้แต่กองทุนของธนาคาร เนื่องจากอยู่ในตลาดเดียวกัน ดังนั้นจะต้องมีความเท่าเทียม ความเข้มข้นในการแข่งขัน มิเช่นนั้นจะทำให้เสียเปรียบได้

นอกจากนี้หากในร่างกฎหมายฉบับนี้ ได้มีการตอกย้ำในเรื่องธรรมาภิบาล เรื่องการสร้างความเข้มแข็ง และการบริหารความเสี่ยงด้วย ก็จะทำให้ตนดีใจที่จะได้ดูแลในเรื่องดังกล่าวด้วย เนื่องจากระบบสหกรณ์ในบ้านเรายังมีปัญหาหลายด้าน เช่น เรื่องความไม่โปร่งใส มีการทุจริตถึงร้อยละ 10 ของสหกรณ์ที่มีอยู่ มีปัญหาบัญชี ร้อยละ 34 หรือมีปัญหาการเงิน ร้อยละ 10 และยังมีเรื่องพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายถึงร้อยละ 37 เพราะฉะนั้นจึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่จะต้องหาทางช่วยเหลือ

ดร.พิสิฐ ได้เสนอแนะว่า อยากให้ดูแลเรื่องการระบบโครงสร้างองค์กรสหกรณ์ เช่น ให้มีคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง เช่นเดียวกับองค์กรที่มีความทันสมัยอื่นๆ รวมทั้งการจัดตั้งองค์กรตรวจสอบ หรือคณะกรรมการตรวจสอบภายใน นอกเหนือจากการมีผู้ตรวจสอบภายนอก (Auditor) ก็จะทำให้มีประโยชน์ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสหกรณ์ออมทรัพย์

นอกจากนี้ยังอยากให้มีความกล้าหาญในการย้ายสังกัดจากเดิมขึ้นอยู่กับกระทรวงเกษตร ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องเกษตร การผลิต มาสังกัดกระทรวงการคลัง เพราะหลายประเทศในโลก อย่างเช่นมาเลเซียก็ทำเช่นนี้มาแล้ว เพราะเรื่องของการเงินนั้นมีกลไกมากเกินกว่าผู้ที่ดูแลเรื่องเกษตรจะรับผิดชอบดูแลได้

จากในร่างที่ได้เสนอมานี้ พบว่ามีการ “ล็อคสเปค” ไว้ทั้งหมด ทำให้การแก้ไขเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสิ่งที่ไม่ชอบใจคือเรื่องการล็อคสเปคตำแหน่งประธานคณะอนุกรรมการหลายชุด อย่างน้อยเรื่องการเงิน การผลิต การใช้เทคโนโลยี และเรื่องบุคลากร โดยให้รองปลัดกระทรวงเกษตรมาดำรงตำแหน่งดังกล่าวเท่านั้น และล็อคสเปคตัวคณะอนุกรรมการ ให้เป็นข้าราชการจำนวน 1 ใน 3 เป็นบุคคลภายนอกเพียง 1 ใน 3 อีกด้วย ซึ่งกฎหมายที่ออกในปี 42 และเห็นสมควรว่าจะต้องแก้ไข แต่ทำไมกลับทำให้ไม่ยืดหยุ่น อีกทั้งยังมีการตั้งนายทะเบียน ซึ่งเป็นผู้ดูแลกรณีมีความเสียหายเกิดขึ้นก็ยังล็อคสเปคว่าให้เป็นคนในถึงครึ่งหนึ่งอีกด้วย เพราะเมื่อผู้บริหาร หรือพนักงานได้สร้างความเสียหายเกิดขึ้น เหตุใดยังให้พวกเขาได้เข้ามาเป็นผู้แก้ไขข้อบกพร่องอีก

อีกทั้งยังพบว่ามีการล็อคสเปคว่าต้องมีการเก็บเงินค่าต๋งจากสหกรณ์ เข้าไปในกองทุนรักษาเสถียรภาพด้วย ดร.พิสิฐ ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงต้องเก็บเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ต่างๆ ซึ่งทำให้เป็นภาระต่อสมาชิก ดังนั้นจึงอยากให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับกระทรวงการคลัง ได้นำกลับไปร่างใหม่ เพื่อจะได้นำกลับมาเสนอต่อสภาอีกครั้งให้ช่วยกันดูแลให้ระบบสหกรณ์ของไทยมีความเข้มแข็งมากขึ้นต่อไป
#DemocratPartyTH #พรรคประชาธิปัตย์